ในยุคที่การซื้อขายหรือโอนที่ดินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินก้อน การรู้ล่วงหน้าว่าต้องจ่ายอะไรบ้างคือสิ่งจำเป็น เพราะ ค่าโอนที่ดิน ไม่ได้มีแค่ค่าธรรมเนียม แต่ยังมีภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นที่หลายคนมักมองข้าม ดังนั้นในวันนี้ InnoHome จึงจะพาคุณไปทำความเข้าใจ วิธีคำนวณค่าโอนที่ดิน แบบง่าย ๆ พร้อมตัวอย่างจริง เพื่อให้คุณเตรียมเอกสาร วางแผนค่าใช้จ่าย และเดินเรื่องได้อย่างมั่นใจในปี 2025
1. เตรียมเอกสารให้พร้อม ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการคำนวณ

ก่อนจะเข้าสู่การคำนวณค่าโอนที่ดิน สิ่งแรกที่ต้องตรวจเช็กให้ชัดคือ คุณอยู่ในกรณีไหน? เพราะแต่ละกรณีมีเอกสารประกอบแตกต่างกัน และมีผลต่อขั้นตอนในสำนักงาน รวมถึงประเภทภาษีที่ต้องชำระ
โดยหากคุณเป็นกรณีบุคคลธรรมดา (ซื้อ-ขายทั่วไป) ต้องใช้เอกสารดังนี้
- โฉนดที่ดินฉบับจริง
- บัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน (ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย)
- ทะเบียนสมรส + หนังสือยินยอมจากคู่สมรส (ถ้ามี)
- หนังสือเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีให้ผู้อื่นดำเนินการแทน)
หรือในกรณีนิติบุคคล (ซื้อในนามบริษัท) จะต้องใช้เอกสารดังนี้
- หนังสือรับรองนิติบุคคล และ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (อายุไม่เกิน 1 เดือน)
- รายงานการประชุมคณะกรรมการ (ระบุวัตถุประสงค์การซื้อขาย)
- สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้านของกรรมการ
- ตัวอย่างลายเซ็นกรรมการ
- เอกสารมอบอำนาจ (ถ้ามีการให้ตัวแทนไปยื่นเรื่อง)
หากเป็นกรณีโอนให้บุตร (ไม่ใช่ซื้อขาย) ต้องใช้เอกสารดังนี้
- โฉนดที่ดิน + บัตรประชาชน + ทะเบียนบ้านของพ่อ แม่ และลูก
- ทะเบียนสมรสของพ่อแม่
- หนังสือมอบอำนาจและเอกสารของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)
จากประสบการณ์ของทางเรา การเตรียมเอกสารให้ครบตั้งแต่ต้นนั้นจะช่วยให้การคำนวณค่าธรรมเนียมในขั้นตอนต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องย้อนกลับไปแก้ไขให้เสียเวลาครับ
2. ขั้นตอนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณค่าโอน

การคำนวณค่าโอนจะเกิดขึ้นในขั้นตอนที่สำนักงานที่ดินประเมินราคาทรัพย์ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินเรื่องกับเจ้าหน้าที่ หากคุณเข้าใจลำดับขั้นตอนนี้ไว้ล่วงหน้า จะรู้ทันว่า ต้องเตรียมเงินเท่าไร? และ ต้องชำระเมื่อใด?
- ยื่นเอกสารพร้อมคำขอที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
- รอรับบัตรคิว และเข้าพบเจ้าหน้าที่ชำนาญงาน
- เจ้าหน้าที่ประเมินราคาที่ดิน และคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด ได้แก่
- ค่าธรรมเนียมการโอน (2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย)
- ค่าอากรแสตมป์ (0.5%) หรือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ (3.3%) ตามเงื่อนไข
- ค่าจดจำนอง (1% ของวงเงินกู้ ถ้ามี)
- ได้รับใบคำนวณค่าใช้จ่าย → นำไปชำระที่ฝ่ายการเงิน
- รับใบเสร็จ และดำเนินการรับโฉนดใหม่ + สัญญาซื้อขาย
หมายเหตุ: การคำนวณราคาที่ดินจะอิงจากราคาประเมินราชการ ไม่ใช่ราคาตลาดจริง ซึ่งสามารถเช็กได้ที่เว็บไซต์กรมธนารักษ์
3. โอนที่ดินได้ที่ไหน?
การโอนที่ดินสามารถดำเนินการได้ 2 ช่องทางครับ โดยแต่ละช่องทางมีผลต่อความสะดวกในการเตรียมเอกสาร และเวลาในการทราบค่าใช้จ่าย อันได้แก่
1. ไปที่สำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยื่นเอกสารและจ่ายค่าธรรมเนียมพร้อมตรวจสอบแบบละเอียด สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง หากเตรียมเอกสารครบ จะรู้ค่าใช้จ่ายแน่นอนในวันเดียว
2. จองคิวล่วงหน้าผ่านแอป e-QLands

สามารถแนบเอกสาร และเลือกรอบวัน-เวลาได้ด้วยตัวเอง เหมาะกับคนที่อยากวางแผนล่วงหน้า ระบบจะให้โหลดเอกสารและทราบขั้นตอนก่อนถึงวันจริง แต่ยังเปิดบริการเฉพาะในกรุงเทพฯ
การรู้ว่าคุณต้องเตรียมเอกสารอะไร ไปทำเรื่องที่ไหน และเข้าใจขั้นตอนการคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างคร่าว ๆ จะช่วยให้การโอนที่ดินไม่ใช่เรื่องวุ่นวาย และไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ทำให้เซอร์ไพรส์ภายหลังแน่นอนครับ
4. วิธีคำนวณค่าโอนที่ดินแบบละเอียด (พร้อมสูตร + ตาราง)
การคำนวณค่าโอนที่ดินเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล เพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ค่าธรรมเนียมการโอน แต่ยังมีภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับ ประเภทของการโอน และสถานะของผู้โอน-ผู้รับโอน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่าเราอยู่ในสถานะไหน และ ใช้ราคาประเมินหรือราคาขายจริงในการคิด
รายการ | อัตรา/สูตรที่ใช้คำนวณ | หมายเหตุ |
ค่าธรรมเนียมการโอน | 2% × ราคาสูงสุด (ราคาขายจริงหรือราคาประเมิน) | ในบางกรณีที่รัฐมีมาตรการลด อาจเหลือ 0.01% (เช่นในปี 2568) |
ค่าอากรแสตมป์ | 0.5% × ราคาสูงสุด (ราคาขายจริงหรือราคาประเมิน) | หากเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะไม่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ |
ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ | 3.3% × ราคาสูงสุด | ใช้ในกรณีถือครองไม่ถึง 5 ปี และไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้าน 1 ปีขึ้นไป |
ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หัก ณ ที่จ่าย) | คำนวณตามขั้นบันไดรายได้ และจำนวนปีที่ถือครอง | มีการหักค่าใช้จ่ายตามปีที่ถือ เช่น 1 ปี = หัก 92% ของรายได้ เป็นต้น |
ค่าจดจำนอง (ถ้ามีการกู้) | 1% × วงเงินจำนอง | บางปีอาจลดเหลือ 0.01% หากเข้าเกณฑ์นโยบายรัฐ |
ค่าคำขอ ค่าพยาน ค่าอากรทั่วไป | คงที่ 5 บาท / 20 บาท / 5 บาท | ชำระที่สำนักงานที่ดินตอนยื่นเรื่อง |
ตัวอย่าง: การคำนวณค่าโอนสำหรับกรณีซื้อขายทั่วไปลองสมมติว่า
ราคาขายจริง: 1,500,000 บาท
ราคาประเมิน: 1,400,000 บาท
วงเงินจำนอง (กู้ธนาคาร): 1,200,000 บาท
ผู้ขายถือครองที่ดินมา 3 ปี
ไม่เคยอยู่ในทะเบียนบ้านของอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
เลือกใช้ราคาที่สูงกว่า → 1,500,000 บาท
รายการ | วิธีคำนวณ | จำนวนเงิน |
ค่าธรรมเนียมการโอน | 1,500,000 × 2% | 30,000 บาท |
ค่าอากรแสตมป์ | 1,500,000 × 0.5% | 7,500 บาท |
ภาษีธุรกิจเฉพาะ | 1,500,000 × 3.3% | 49,500 บาท |
ค่าภาษีเงินได้ฯ (หัก ณ ที่จ่าย) | (ดูตารางภาษีข้างล่าง) | 3,000–7,000+ |
ค่าจดจำนอง | 1,200,000 × 1% | 12,000 บาท |
ค่าพยาน คำขอ อากร | – | 30 บาท |
รวมคร่าวๆ | ~100,000 บาท+ |
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได
เงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่าย) | อัตราภาษี |
0 – 300,000 บาท | 5% |
300,001 – 500,000 บาท | 10% |
500,001 – 750,000 บาท | 15% |
750,001 – 1,000,000 บาท | 20% |
1,000,001 – 2,000,000 บาท | 25% |
2,000,001 – 5,000,000 บาท | 30% |
มากกว่า 5,000,001 บาท | 35% |
โดยเงินได้สุทธิคำนวณจาก : ราคาประเมินที่ดิน × สัดส่วนรายได้สุทธิ (ขึ้นกับจำนวนปีที่ถือครอง)
ปีที่ถือครอง | หักค่าใช้จ่ายได้ | ใช้คำนวณภาษีจาก % ของราคาประเมิน |
1 ปี | 92% | ใช้ 8% ของราคาประเมิน |
2 ปี | 84% | ใช้ 16% |
3 ปี | 77% | ใช้ 23% |
4 ปี | 71% | ใช้ 29% |
5 ปี | 65% | ใช้ 35% |
6 ปี | 60% | ใช้ 40% |
7 ปี | 55% | ใช้ 45% |
8 ปีขึ้นไป | 50% | ใช้ 50% |
ดังนั้น ก่อนจะลงมือคำนวณค่าโอนที่ดินด้วยตัวเอง มีข้อมูลสำคัญอยู่ไม่กี่อย่างที่ต้องรู้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถประเมินค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำและไม่พลาดประเด็นสำคัญ
อย่างแรกคือต้องรู้ว่า ราคาขายจริง กับ ราคาประเมินราชการ ของที่ดินแปลงนั้นอยู่ที่เท่าไร โดยจะใช้ราคาที่สูงกว่าในการคำนวณค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สามารถตรวจสอบราคาประเมินได้ที่เว็บไซต์ของกรมธนารักษ์: https://assessprice.treasury.go.th
ถ้าซื้อที่ดินโดยกู้เงิน ต้องทราบจำนวน วงเงินจำนอง ที่ใช้ยื่นกู้กับธนาคาร เพราะจะนำมาใช้ในการคำนวณค่าจดจำนอง ซึ่งโดยปกติคิดที่ 1% ของวงเงินจำนอง เว้นแต่ในปีที่มีนโยบายลดหย่อนพิเศษ
ต่อมาคือเรื่อง จำนวนปีที่ถือครองทรัพย์ โดยผู้ขาย หากถือครองไม่ถึง 5 ปี หรือไม่เคยอยู่ในทะเบียนบ้านที่ดินแปลงนั้นเลย อาจต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่คำนวณจากจำนวนปีที่ถือ
สุดท้ายคือ การอยู่ในทะเบียนบ้าน หากผู้ขายเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของที่ดินหรือบ้านหลังนั้นไม่น้อยกว่า 1 ปี จะอาจได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการโอนได้มาก ซึ่งการรู้ปัจจัยเหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณคำนวณค่าใช้จ่ายได้ครอบคลุม และเตรียมงบประมาณได้ไม่พลาดครับ
5. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ควรรู้ก่อนโอน

นอกจากค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์โดยตรงแล้ว ยังมีภาษีอีกประเภทหนึ่งที่เจ้าของที่ดินต้องรับผิดชอบ นั่นคือ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ซึ่งเป็นภาษีประจำปีที่เรียกเก็บจากผู้ถือครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ ณ วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี และอาจส่งผลต่อการซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้ในบางกรณี
ประเภทการใช้ประโยชน์ | อัตราภาษีพื้นฐาน (บาทต่อมูลค่าทุนทรัพย์ 100 บาท) | หมายเหตุ |
ทำการเกษตร | 0.01% – 0.1% | ปีแรกอาจได้รับการยกเว้นหรืออัตราพิเศษ |
ที่อยู่อาศัย (หลังแรก) | 0.02% – 0.1% | หากไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อน |
ที่อยู่อาศัย (หลังที่ 2 ขึ้นไป) | 0.02% – 0.3% | ไม่มีสิทธิยกเว้น |
พาณิชยกรรม/เชิงธุรกิจ | 0.3% – 1.2% | มักคิดสูงที่สุด |
ที่ดินว่างเปล่า ไม่ใช้ประโยชน์ | เริ่มที่ 0.3% และเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี | สูงสุดไม่เกิน 3% |
จากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 มีนาคม 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศ พระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ 3) ซึ่งให้ลดอัตราภาษีลง 15% สำหรับปีภาษี 2566 โดยครอบคลุมทุกประเภทการใช้ประโยชน์ เช่น ที่ดินทำเกษตร, ที่อยู่อาศัย (รวมถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์), ที่ดินที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และ ที่ดินว่างเปล่า โดยการลดภาษีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระของประชาชน และกระตุ้นการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง

สำหรับผู้ที่กำลังจะโอนที่ดิน หนึ่งในประเด็นที่ควรพิจารณาคือสถานะการใช้ประโยชน์ของที่ดินแปลงนั้น หากเป็นที่ดินว่างเปล่าที่ผู้ขายถือครองไว้นานเกิน 3 ปี โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ใด ๆ อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะถูกจัดเก็บในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามกฎหมาย ซึ่งอาจกลายเป็นภาระต่อผู้ซื้อในอนาคต ไม่ว่าจะในแง่ของราคาขายที่ต่อรองยากขึ้น หรือภาระภาษีที่ต้องรับช่วงต่อโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในกรณีที่ซื้อที่ดินพร้อมบ้าน ผู้รับโอนควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าบ้านหลังดังกล่าวถือเป็น “หลังแรก” หรือ “หลังที่สองขึ้นไป” ของตนหรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อการเสียภาษีในอนาคต หากเป็นบ้านหลังแรกที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยเจ้าของ จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีในวงเงินที่กฎหมายกำหนด แต่หากเป็นหลังที่สองหรือมากกว่านั้น จะไม่ได้รับยกเว้น และต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือการตรวจสอบภาระภาษีที่ดินค้างชำระในอดีต โดยผู้ซื้อควรสอบถามผู้ขาย หรือขอตรวจสอบกับสำนักงานเขตหรือท้องถิ่นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีภาระภาษีสะสมหรือไม่ เพราะหากยังไม่เคลียร์ภาระส่วนนี้ เจ้าของกรรมสิทธิ์คนใหม่อาจต้องรับภาระชำระแทนหลังโอนเรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ตัว