รู้จัก หลักหมุดที่ดิน สำคัญอย่างไร?

-
-
-

เมื่อพูดถึงที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย หรือแม้แต่การทำสัญญา “ขายฝาก” สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักไม่ทันนึกถึง แต่จริง ๆ แล้วมีความสำคัญมาก คือ “หลักหมุดที่ดิน” หรือที่บางคนเรียกว่า “หลักเขตที่ดิน” เพราะหมุดเล็ก ๆ ที่ปักอยู่ในพื้นดินนี้ ไม่ได้เป็นแค่แท่งปูนธรรมดา แต่เป็นหลักฐานทางกฎหมายที่ใช้ระบุแนวเขตของที่ดินได้อย่างชัดเจน

หลักหมุดมีผลต่อหลายเรื่องมาก ทั้งการรังวัด การซื้อขาย การขออนุญาตปลูกสร้าง หรือแม้แต่การทำสัญญาขายฝาก เพราะถ้าแนวเขตในเอกสารไม่ตรงกับหมุดในพื้นที่จริง อาจทำให้เกิดปัญหาภายหลัง เช่น ถูกกล่าวหาว่ารุกล้ำแนวเขตเพื่อนบ้าน หรือขนาดพื้นที่จริงไม่ตรงกับที่ระบุในสัญญา โดยบทความนี้ Innohome จะพาคุณไปรู้จักกับ “หลักหมุดที่ดิน” ให้มากขึ้น ตั้งแต่หน้าตา หน้าที่ ความสำคัญ ไปจนถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีดูแลหมุดให้ปลอดภัย เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพย์สินของคุณจะไม่ถูกละเมิด และธุรกรรมที่เกี่ยวข้องจะเป็นไปอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน

หลักหมุดที่ดิน คืออะไร?

หลักหมุดที่ดิน คือ เครื่องหมายที่ใช้แสดงแนวเขตที่ดินตามกฎหมาย มักทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงกระบอก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4–6 เซนติเมตร ปักไว้ตามมุมของแปลงที่ดิน เพื่อใช้กำหนดพิกัดให้ตรงกับแผนที่ในเอกสารสิทธิ เช่น โฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์

หมุดแต่ละหลักจะมีหมายเลขเฉพาะของตัวเอง เรียกว่า “เลขหลักหมุด” ซึ่งจะต้องตรงกับหมายเลขที่ระบุไว้ในแผนผังด้านหลังของโฉนด โดยเลขนี้มีไว้สำหรับอ้างอิงเมื่อต้องตรวจสอบแนวเขตที่ดินจริง เจ้าของที่ดินสามารถเดินหาหมุดตามมุมแปลง แล้วตรวจสอบตัวอักษรและเลขหมุดบนหัวหมุด เช่น “น.ส.3 121” หรือ “น.ส.ล. 45” หากพบว่าเลขไม่ตรง หรือหมุดอยู่ผิดตำแหน่ง ควรแจ้งสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบหรือรังวัดใหม่อย่างเป็นทางการ

โดยทั่วไป หมุดที่ดินจะมีรูปแบบตามมาตรฐานของกรมที่ดิน และจะมีอักษรย่อแสดงประเภทของเอกสารสิทธิ เช่น “น.ส.3” สำหรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ “น.ส.ล.5” สำหรับหนังสือแสดงการจัดสรรที่ดิน ซึ่งตัวอักษรเหล่านี้จะช่วยให้ทราบว่าหมุดนั้นสอดคล้องกับเอกสารสิทธิประเภทใด และสามารถนำไปใช้เทียบเคียงกับข้อมูลในแผนที่เพื่อยืนยันแนวเขตที่ดินได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

“น.ส.” ย่อมาจาก “น.ส.3” หรือ “หนังสือรับรองการทำประโยชน์
“น.ส.ล.” ย่อมาจาก “น.ส.ล.5” หรือ “หนังสือแสดงการจัดสรรที่ดิน”

ตัวอักษรเหล่านี้ช่วยให้ทราบว่า หมุดนั้นสอดคล้องกับเอกสารสิทธิประเภทใด และสามารถนำไปใช้ตรวจสอบกับโฉนดหรือแผนที่ระวางได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังมี หมายเลขประจำหมุด ที่ตรงกับหมายเลขในเอกสารที่ดิน เพื่อป้องกันความสับสนในกรณีมีหมุดอยู่หลายหลักในแปลงเดียว

หลักเขตที่ดินต่างจากหลักหมุดอย่างไร?

หลักเขตที่ดินต่างจากหลักหมุดอย่างไร?

แม้ในชีวิตประจำวันเรามักใช้คำว่า “หลักหมุดที่ดิน” และ “หลักเขตที่ดิน” แทนกันไปมา แต่ในเชิงเทคนิคและกฎหมายแล้ว ทั้งสองคำมีความหมายที่ต่างกันอยู่พอสมควร

หลักเขตที่ดิน หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่สามารถใช้เป็น “เครื่องหมาย” เพื่อแสดงขอบเขตของที่ดินแปลงหนึ่ง ๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ เกิดจากการกระทำของมนุษย์ หรือจัดทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยสามารถแบ่งประเภทของหลักเขตได้ดังนี้:

1. หลักหมุดที่ทางราชการจัดทำ

เป็นหมุดที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการปักไว้ในกระบวนการรังวัดหรือออกเอกสารสิทธิ เช่น โฉนด หรือ น.ส.3 มักทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงกระบอก มีตัวอักษรและหมายเลขกำกับ ซึ่งเชื่อมโยงกับแผนที่และข้อมูลในเอกสารสิทธิของแต่ละแปลง

2. หลักเขตธรรมชาติ

คือสิ่งที่มีอยู่แล้วตามสภาพภูมิประเทศและสามารถใช้เป็นแนวเขตได้ เช่น ลำห้วย แนวสันเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้เป็นแนว หรือแม้แต่เส้นสันดินในบางพื้นที่ชนบท หลักเขตธรรมชาติอาจใช้ในการตกลงกันระหว่างเจ้าของที่ดินในอดีต และพบได้บ่อยในที่ดินที่ยังไม่ได้ทำการรังวัดอย่างเป็นทางการ

3. หลักเขตที่มนุษย์สร้างขึ้น

หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่เจ้าของที่ดินหรือผู้อื่นใช้แสดงขอบเขตที่ดิน เช่น รั้วบ้าน กำแพงปูน คูน้ำ หรือถนน หลักเขตประเภทนี้แม้จะมีความชัดเจนทางกายภาพ แต่หากไม่ได้อิงกับแนวหมุดที่รังวัดโดยเจ้าหน้าที่ ก็อาจคลาดเคลื่อนได้ และเป็นสาเหตุของข้อพิพาทเรื่องแนวเขตได้เช่นกัน

กฎหมายหลักหมุดที่ดิน

กฎหมายหลักหมุดที่ดิน

หลักหมุดที่ดินมีบทบาทสำคัญในทางกฎหมาย เพราะทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายยืนยันแนวเขตกรรมสิทธิ์ที่สามารถตรวจสอบได้ตามเอกสารสิทธิ เช่น โฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับแนวเขต การมีหมุดที่ชัดเจนและสอดคล้องกับแผนที่ในโฉนดจะช่วยยืนยันสิทธิของเจ้าของที่ดินได้อย่างมีน้ำหนักทางกฎหมาย

นอกจากใช้แสดงกรรมสิทธิ์ หมุดที่ดินยังมีผลต่อการซื้อขาย การคำนวณภาษี และการขออนุญาตก่อสร้าง โดยจะทำให้แนวเขตที่ระบุในเอกสารมีหลักฐานภาคสนามรองรับอย่างชัดเจน หากไม่มีหมุด หรือหมุดถูกย้ายจากตำแหน่งเดิมโดยพลการ อาจทำให้ขนาดพื้นที่คลาดเคลื่อน นำไปสู่ปัญหาเชิงกฎหมายหรือการฟ้องร้องในอนาคตได้

ที่สำคัญคือ การทำลายหรือเคลื่อนย้ายหลักหมุดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ถือเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดย มาตรา 67 ระบุว่า

“เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำหลักหมายเขตที่ดิน หรือได้สร้างหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่ลงไว้ในที่ใด ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใด นอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำลาย ดัดแปลง เคลื่อนย้าย ถอดถอนหลักหมายเขตหรือหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่นั้นไปจากที่เดิม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน”

หากฝ่าฝืน จะเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 109 ซึ่งกำหนดโทษไว้ว่า

“ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 มีความผิด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ”

นอกจากนี้ หากการกระทำมีเจตนาเพื่อยึดครอบครองพื้นที่ อาจเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกเพิ่มเติม ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรงกว่า ดังนั้น เจ้าของที่ดินจึงควรตรวจสอบและดูแลหลักหมุดให้คงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่เสมอ

ความสำคัญของ หลักหมุดที่ดิน

ความสำคัญของ หลักหมุดที่ดิน

ในกระบวนการจัดการที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย ก่อสร้าง หรือใช้ที่ดินเป็นหลักประกันทางกฎหมาย “หลักหมุดที่ดิน” ถือเป็นจุดยึดสำคัญในการระบุขอบเขตของสิทธิในทรัพย์สิน หลักหมุดเหล่านี้มักติดตั้งไว้ตามมุมของแปลงที่ดิน โดยมีรหัสเฉพาะที่เชื่อมโยงกับข้อมูลในเอกสารสิทธิ เช่น โฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งได้รับการรับรองโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

หมุดแต่ละหลักทำหน้าที่เสมือน “หลักฐานภาคสนาม” ที่ช่วยป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับแนวเขตที่ดิน ป้องกันการบุกรุกโดยไม่เจตนา และสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งเจ้าของที่ดิน ผู้ซื้อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินภาษีหรือวางแผนก่อสร้าง หากหมุดหาย ถูกเคลื่อนย้าย หรือแนวเขตไม่ตรงตามเอกสาร สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นชนวนให้เกิดข้อขัดแย้งทางกฎหมาย หรือสูญเสียสิทธิในทรัพย์สินได้โดยไม่ตั้งใจ

หากต้องการให้เจ้าหน้าที่รังวัดและติดตั้งหมุดใหม่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

กรณีที่ต้องมีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินใหม่ เจ้าของสามารถยื่นคำร้องขอให้สำนักงานที่ดินในเขตพื้นที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและดำเนินการรังวัด โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารสิทธิที่ดิน และหลักฐานแสดงสถานภาพ (เช่น ทะเบียนสมรส หรือใบเปลี่ยนชื่อ หากเกี่ยวข้อง)

ในการดำเนินงานดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายที่เป็นทางการ โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่

ค่าธรรมเนียมตามระเบียบทางราชการ

ตามกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จะมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นดังนี้:

  • ค่าดำเนินการรังวัดเพื่อออกโฉนดต่อแปลง
  • ค่าตรวจสอบเอกสารสิทธิกรณีเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์
  • ค่าหมุดหลักเขตที่ใช้ในการปักตำแหน่ง
  • ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหากที่ดินมีเนื้อที่มากกว่า 20 ไร่

ค่าใช้จ่ายภาคสนามแบบเหมาจ่าย

ซึ่งอาจรวมถึงค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ และค่าจ้างทีมงานที่เข้าดำเนินการในพื้นที่ ซึ่งจะมีการกำหนดอัตราสูงสุดตามขนาดพื้นที่และจำนวนวันที่ใช้ในการทำงาน เช่น

  • ที่ดินขนาดไม่เกิน 5 ไร่ ใช้เวลาทำการ 1 วัน งบประมาณไม่เกิน 3,500 บาท
  • ขนาดไม่เกิน 15 ไร่ ใช้เวลา 2 วัน งบประมาณไม่เกิน 6,800 บาท
  • หากพื้นที่มากกว่า 30 ไร่ อาจต้องใช้เวลาหลายวัน และค่าใช้จ่ายเพิ่มตามระดับขั้น

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าจัดส่งเอกสารแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงเพื่อให้เข้าร่วมสังเกตการณ์แนวเขต ค่าจ้างแรงงานรังวัด และค่าสื่อสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หลักหมุดกับงานก่อสร้าง มีผลอย่างไร?

หลักหมุดกับงานก่อสร้าง มีผลอย่างไร?

ในการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บนที่ดิน หนึ่งในข้อมูลพื้นฐานที่ไม่สามารถมองข้ามได้ คือ “แนวเขตที่ดิน” ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเอกสารสิทธิ และถูกต้องตามกฎหมายผังเมือง รวมถึงกฎหมายควบคุมอาคาร หลักหมุดที่ดินจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนี้ เพราะเป็นจุดยืนยันขอบเขตของแปลงที่ดินบนพื้นที่จริง ให้สถาปนิก วิศวกร และผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถอ้างอิงตำแหน่งได้อย่างชัดเจน

การวางผังอาคารโดยไม่อิงหลักหมุดที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การปลูกสร้างล้ำออกนอกแนวเขต ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจสร้างข้อขัดแย้งกับเจ้าของที่ดินข้างเคียง และส่งผลกระทบต่อกระบวนการขออนุญาตปลูกสร้างหรือขอเลขที่บ้านภายหลัง อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีหรือมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารในกรณีที่มีการร้องเรียน

นอกจากนี้ หลักหมุดยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณระยะถอยร่นของอาคารจากแนวเขต ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายควบคุมอาคาร เช่น การเว้นระยะระหว่างตัวอาคารกับแนวเขต เพื่อป้องกันผลกระทบด้านแสง อากาศ การระบายน้ำ และความปลอดภัยระหว่างอาคารใกล้เคียง การไม่มีหมุดที่ชัดเจน จึงอาจทำให้การคำนวณระยะเหล่านี้คลาดเคลื่อน และกลายเป็นเหตุให้การขออนุญาตถูกปฏิเสธ ดังนั้น ก่อนเริ่มงานก่อสร้างทุกประเภท การตรวจสอบและยืนยันแนวหมุดที่ดินในพื้นที่จริงจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อให้การออกแบบและปลูกสร้างเป็นไปอย่างถูกต้อง แต่ยังเพื่อปกป้องสิทธิในที่ดินของเจ้าของให้มั่นคงในระยะยาว

วิธีตรวจสอบหลักหมุดที่ดินด้วยตัวเอง

วิธีตรวจสอบหลักหมุดที่ดินด้วยตัวเอง
  1. เตรียมเอกสารโฉนดที่ดิน เริ่มจากนำโฉนดตัวจริงหรือสำเนามาศึกษา โดยเฉพาะหน้าที่แสดงแผนที่แปลงที่ดิน (แผนที่ระวาง) ซึ่งจะแสดงรูปทรงแปลง หมายเลขหลักหมุด และแนวเขตโดยรอบ ศึกษาให้เข้าใจว่าแต่ละมุมของแปลงควรมีหมุดตำแหน่งใด และมีเลขหมุดอะไรระบุอยู่บ้าง
  2. สำรวจพื้นที่จริง เดินสำรวจแปลงที่ดินโดยใช้ข้อมูลจากแผนที่ในโฉนดเป็นแนวทาง ตรวจสอบบริเวณมุมแปลงตามตำแหน่งที่คาดว่าหมุดควรอยู่ หากแปลงที่ดินมีรั้วหรือสิ่งปลูกสร้าง ให้สังเกตบริเวณมุมด้านในหรือนอกของรั้ว เพราะมักเป็นจุดที่ปักหมุด
  3. ตรวจสอบหมายเลขบนหัวหมุด เมื่อพบหมุด ให้สังเกตตัวอักษรและหมายเลขบนหัวหมุด เช่น “น.ส.3 121” หรือ “น.ส.ล. 45” ซึ่งจะต้องตรงกับเลขที่ระบุไว้ในแผนที่โฉนด หากตัวเลขไม่ตรง หรือหมุดอยู่ในตำแหน่งที่ผิดจากแผนที่ ควรจดบันทึกไว้เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม
  4. วัดระยะระหว่างหมุด หากไม่มั่นใจในตำแหน่งหมุด หรือสงสัยว่าแนวเขตไม่ตรงตามโฉนด ให้ใช้เทปวัดระยะหรืออุปกรณ์วัดระยะดิจิทัล วัดจากหมุดหนึ่งไปยังหมุดถัดไปตามระยะที่แสดงในแผนที่ เพื่อเปรียบเทียบกับระยะจริงในพื้นที่
  5. ถ่ายภาพและทำบันทึกประกอบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานและอ้างอิงในอนาคต ควรถ่ายภาพแต่ละหมุดพร้อมบันทึกพิกัดตำแหน่ง (หากใช้ GPS ได้) และจดรายละเอียดว่าหมุดอยู่ในสภาพใด สมบูรณ์หรือชำรุด
  6. ขอให้เจ้าหน้าที่รังวัดใหม่ หากพบปัญหา หากหมุดหาย ถูกเคลื่อนย้าย เสียหาย หรือแนวเขตคลาดเคลื่อนจากโฉนด ควรติดต่อสำนักงานที่ดินในพื้นที่เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เข้ารังวัดและวางหมุดใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมแนบเอกสาร เช่น บัตรประชาชน โฉนด และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง
  7. เข้าไปที่เว็บไซต์ landsmaps ที่เมนูด้านบนกรอกจังหวัด อำเภอ และเลขที่โฉนด กดปุ่มค้นหาสีแดง ก็จะแสดงข้อมูลขึ้นมาทันที

การดูแลและป้องกันหลักหมุดไม่ให้สูญหาย

แม้หลักหมุดจะทำจากวัสดุแข็งแรงอย่างคอนกรีตเสริมเหล็ก แต่ในระยะยาว หมุดก็อาจถูกดินกลบ ฝังลึก หรือสูญหายจากการก่อสร้าง การถมดิน หรือแม้แต่ถูกเคลื่อนย้ายโดยไม่ตั้งใจได้ ดังนั้นเจ้าของที่ดินจึงควรมีมาตรการป้องกันและดูแลหมุดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความชัดเจนของแนวเขตให้คงอยู่ หนึ่งในวิธีที่นิยมคือการทำ “เครื่องหมายล้อมรอบ” หมุด เช่น ก่อปูนเป็นขอบวง ทาสีรอบจุดหมุด หรือฝังเหล็กฉากพาดขอบหมุดไว้เพื่อมองเห็นได้ง่ายในอนาคต หากเป็นที่ดินเปล่าหรืออยู่ในพื้นที่รก ควรตัดหญ้ารอบหมุดและกันพื้นที่ไว้ไม่ให้คนเหยียบย่ำ

นอกจากนี้ แนะนำให้ถ่ายภาพหมุดพร้อมระบุพิกัด GPS และบันทึกตำแหน่งในแผนที่ Google Map หรือแผนผังส่วนตัวเก็บไว้ โดยเฉพาะหากมีหมุดหลายจุดในแปลงเดียว ควรตั้งชื่อหรือรหัสหมุดเองเพื่อป้องกันสับสน และควรตรวจสอบหมุดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมและไม่ถูกเปลี่ยนแปลง

ที่ดิน ส.ป.ก. มีหลักหมุดไหม ต่างจากหมุดทั่วไปยังไง?

ที่ดิน ส.ป.ก. มีหลักหมุดไหม ต่างจากหมุดทั่วไปยังไง?

ที่ดิน ส.ป.ก. หรือที่ดินที่อยู่ภายใต้การดูแลของ “สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” (ส.ป.ก.) มีการจัดทำ “หลักเขตที่ดิน” เช่นเดียวกับที่ดินประเภทอื่น แต่หมุดที่ใช้จะมีลักษณะและวัตถุประสงค์ต่างจากหมุดของโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) อย่างชัดเจน หมุดในที่ดิน ส.ป.ก. จะถูกปักโดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ส.ป.ก. เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่ตามแปลงที่จัดสรรให้เกษตรกรใช้ทำกิน โดยบนหัวหมุดจะมีตัวอักษร “ส.ป.ก.” กำกับไว้อย่างชัดเจน เพื่อแยกให้เห็นว่าเป็นหมุดของที่ดินในโครงการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลแบบโฉนด จึงไม่สามารถซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามปกติ

อีกความแตกต่างสำคัญคือ หมุด ส.ป.ก. มีไว้เพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์เฉพาะทางการเกษตร หากมีการนำที่ดินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร หรือให้บุคคลอื่นเช่าอยู่อาศัย อาจถูกเพิกถอนสิทธิการใช้ที่ดินจาก ส.ป.ก. ได้ แม้ที่ดิน ส.ป.ก. จะมีหมุดเขตเช่นเดียวกับที่ดินทั่วไป แต่หมุดนั้นไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่าหมุดของโฉนด และผู้ถือสิทธิก็มีข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์อย่างเคร่งครัดตามเงื่อนไขของทางราชการ การตรวจสอบและเคารพแนวเขตจึงไม่เพียงเป็นการรักษาสิทธิเท่านั้น แต่ยังป้องกันการกระทำผิดที่อาจทำให้สูญเสียสิทธิในการครอบครองได้อีกด้วย